ภาวะอุตสาหกรรมและการแข่งขัน
เศรษฐกิจไทยปี 2555 และแนวโน้มปี 2556
จากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 6.4 จากการขยายตัวของ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร การก่อสร้าง การขยายตัวของภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ส่วนอัตรา เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 3.0 และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดร้อยละ 0.7 ของ GDP โดยภาพรวมความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 และ ทั้งปี 2555 เป็นดังนี้
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2556 เศรษฐกิจไทยในปี 2556 ยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์ดีแม้ว่าจะชะลอตัวลงจากการขยายตัวสูงในปี 2555 อุปสงค์ภาคต่างประเทศมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามการลดลงของแรงส่ง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและแรงส่งจากรายจ่ายเพื่อการฟื้นฟูและบูรณะประเทศเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งด้าน เสถียรภาพราคาและดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทยังอยู่ภายใต้แรงกดดันของการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
ในปี2555 แรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสุทธิอยู่ในเกณฑ์ต่ำเนื่องจากการผลิตและการส่งออกภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากภาวะ น้ำท่วม รวมทั้งได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่การนำเข้าเร่งตัวขึ้นตามความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อ ทดแทนความเสียหายจากภาวะอุทกภัยและการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อฟื้นฟูภาคการผลิตและการบูรณะประเทศ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้แรงขับเคลื่อน ทางเศรษฐกิจจากการส่งออกสุทธิลดลง อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของกำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก และการลดลง ของความต้องการนำเข้าเพื่อฟื้นฟูบูรณะประเทศคาดว่าจะทำให้การส่งออกสุทธิมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2556 ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศในปี 2556 มีแนวโน้มลดลง อุปสงค์ในประเทศมีบทบาทสูงในการขับเคลื่อนการขยายตัว ทางเศรษฐกิจในปี2555 โดยเฉพาะการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการใช้จ่ายเพื่อทดแทนความเสียหาย จากภาวะน้ำท่วมภายใต้มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยของภาครัฐ รวมทั้งมาตรการภาษีรถยนต์คันแรกซึ่งส่งผลให้ ยอด จำหน่ายรถยนต์ในปี 2555 สูงถึง 1,248,346 คัน เทียบกับ 719,239 คัน และ 661,694 คันในปี 2553 และ 2554 ตามลำดับ ดังนั้นการลดลงของแรง ส่งจากการบริโภคเพื่อทดแทนความเสียหาย จากภาวะน้ำท่วมและการลดลงของแรงส่งจากมาตรการรถยนต์คันแรก มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้การใช้จ่าย ภาคครัวเรือนในปี 2556 ชะลอตัวลง ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามการลดลง ของแรงส่งจากรายจ่ายลงทุนเพื่อการฟื้นฟู ภาคการผลิต
แม้กระนั้นก็ตาม อุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การปรับตัวดีขึ้น ของรายได้ภาคครัวเรือนตามการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ ในขณะที่การฟื้นตัวของภาคการผลิตส่งผลให้อัตรา การว่างงานอยู่ในระดับต่ำ (2) การปรับตัวดีขึ้นของราคาสินค้าเกษตรในช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว (3) อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และ (4) มาตรการ สนับสนุนค่าครองชีพและการลดภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังมี ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวสูงของมูลค่า การขอรับการส่งเสริม การลงทุนในปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่ายังมีบริษัทต่างชาติให้ความสนใจ ที่จะเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยในปี 2556 มีแนวโน้มที่ปรับตัวเข้าสู่อัตราการขยายตัวปกติตามการฟื้นตัวของกำลังการผลิต ในประเทศและการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลกซึ่งทำให้ความจำเป็นในการพึ่งพามาตรการกระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้นลดลง อย่างไรก็ตามสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจโลกมีแนว โน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินและเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีซึ่งเศรษฐกิจโลก มี แนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นและการแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ในขั้วเศรษฐกิจหลักมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี จึงควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่ม ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลดแรงกดดันด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดโลก โดยเฉพาะ
ภาวะและแนวโน้มของอุตสาหกรรม
1. งานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า
จากการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีการปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย จากแผน PDP 2010 ปรับปรุงครั้งที่ 2 เป็นแผน PDP 2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3 ซึ่งครอบคลุมการพัฒนากำลังการผลิตในช่วงปี 2555 - 2573 โดยมีการปรับปรุงการพยากรณ์ ความต้องการไฟฟ้าให้สอดคล้องกับประมาณการทางเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามแผนการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐาน เช่น การพัฒนาระบบราง อันได้แก่ โครงการรถไฟฟ้า 10 สายหลักในกรุงเทพฯ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย ด้านพลังงานของรัฐบาล เช่น ส่งเสริมและผลักดันให้อุตสาหกรรมพลังงานสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน พลังงานและพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานของภูมิภาค รวมถึงเพิ่มนโยบายการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทในการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าในระยะเวลา 20 ปี ส่งผลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไฟฟ้าได้ใช้แผนดังกล่าวเป็นแนวทาง ในการวางแผนทางธุรกิจ ซึ่งสาระสำคัญของแผน PDP 2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3 โดยสรุป ดังนี้
a. ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจะใช้ค่าพยากรณ์เศรษฐกิจไทยระยะยาวกรณีฐานมาจัดทำ ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเพื่อจัดทำแผน PDP 2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3 โดยค่าพยากรณ์ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดสิ้นปี 2573 จะลดลงจากค่า พยากรณ์ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดที่ใช้จัดทำแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 จำนวน 634 เมกะวัตต์ และในปี 2573 ค่าพยากรณ์ความ ต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดเท่ากับ 52,256 เมกะวัตต์
ตารางค่าพยากรณ์ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด และพลังงานไฟฟ้าสูงสุด
ปี | กรณี High | |||||
---|---|---|---|---|---|---|
พลังไฟฟ้าสูงสุด | พลังงานไฟฟ้าสูงสุด | |||||
MW | เพิ่ม | Gwh | เพิ่ม | |||
MW | % | Gwh | % | |||
2009(2552) |
22,155 |
- |
- |
146,280 |
- |
- |
2010(2553) |
24,174 |
- |
- |
161,350 |
- |
- |
2011(2554) |
24,070 |
- |
- |
160,706 |
140 |
0.1 |
2012(2555) |
26,355 |
999 |
3.9 |
175,089 |
4,683 |
2.7 |
2013(2556) |
27,443 |
630 |
2.3 |
183,283 |
4,286 |
2.4 |
2014(2557) |
28,790 |
321 |
1.1 |
191,630 |
2,259 |
1.2 |
2015(2558) |
30,231 |
- |
- |
200,726 |
- |
- |
2016(2559) |
31,809 |
- |
- |
210,619 |
- |
- |
2017(2560) |
33,264 |
- |
- |
219,616 |
- |
- |
2018(2561) |
34,593 |
- |
- |
227,760 |
- |
- |
2019(2562) |
35,869 |
- |
- |
236,408 |
- |
- |
2020(2563) |
37,326 |
- |
- |
246,164 |
- |
- |
2021(2564) |
38,726 |
- |
- |
255,591 |
- |
- |
2022(2565) |
40,134 |
- |
- |
265,039 |
- |
- |
2023(2566) |
41,567 |
- |
- |
274,672 |
- |
- |
2024(2567) |
43,049 |
- |
- |
284,640 |
- |
- |
2025(2568) |
44,521 |
- |
- |
294,508 |
- |
- |
2026(2569) |
46,003 |
- |
- |
304,548 |
- |
- |
2027(2570) |
47,545 |
- |
- |
314,925 |
- |
- |
2028(2571) |
49,115 |
- |
- |
325,470 |
- |
- |
2029(2572) |
50,624 |
- |
- |
335,787 |
- |
- |
2030(2573) |
52,256 |
- |
- |
346,767 |
- |
- |
ที่มา : คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
b. ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศไทย
สรุปรายละเอียด แผน PDP 2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3 (2555-2573)
กำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ ในช่วง ปี 2555- 2573 เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตติดตั้ง ณ เดือนธันวาคม 2554 จำนวน 55,065 เมกะวัตต์ เพื่อ รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น
PDP 2010 Rev.2 | PDP 2010 Rev.3 | |
---|---|---|
กำลังผลิตไฟฟ้า ณ ธันวาคม 2554 |
32,744 |
32,629 |
กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ ในช่วงปี 2555-2573 |
53,874 |
55,065 |
กำลังผลิตไฟฟ้าที่ปลดออกจากระบบ ในช่วงปี 2555-2573 |
-17,061 |
-16,847 |
รวมกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้นถึงปี 2573 |
69,557 |
70,847 |
ที่มา : คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ในปี 2555 -2573 แยกตามประเภทโรงไฟฟ้า ดังนี้
ประเภทโรงไฟฟ้า | PDP 2010 Rev.2 | PDP 2010 Rev.3 |
---|---|---|
โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน |
4,433 |
9,516 |
โรงไฟฟ้าระบบ Cogeneration |
8,319 |
6,374 |
โรงไฟฟ้าความร้อนร่วม (ก๊าซธรรมชาติ) |
18,400 |
25,451 |
โรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด |
7,740 |
4,400 |
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ |
4,000 |
2,000 |
โรงไฟฟ้ากังหันแก๊ส |
- |
750 |
รับซื้อจากต่างประเทศ |
10,982 |
6,572 |
ที่มา : คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
เปรียบเทียบผลการจัดหาพลังงานไฟฟ้า ปี 2573 ตาม แผน PDP 2010 ปรับปรุงครั้งที่ 3
ประเภทโรงไฟฟ้า | PDP 2010 Rev.2 | PDP 2010 Rev.3 |
---|---|---|
ปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (%) |
16.0% |
16.1% |
CO2 Emission (kg/kWh) |
0.3864 |
0.3826 |
สัดส่วนกำลังผลิต |
||
- ก๊าซธรรมชาติ |
47% |
54% |
- ถ่านหิน |
16% |
11% |
- ซื้อไฟฟ้าต่างประเทศ |
18% |
12% |
- พลังงานหมุนเวียน |
6% |
14% |
- นิวเคลียร์ |
6% |
3% |
- พลังน้ำ |
7% |
6% |
สัดส่วนโรงไฟฟ้า |
||
- กฟผ. |
49% |
43% |
- IPP |
14% |
21% |
- SPP และ VSPP |
13% |
11% |
- นำเข้าจากต่างประเทศ |
18% |
12% |
- ไม่ระบุเจ้าของ |
6% |
13% |
ที่มา : คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
การดำเนินนโยบายของภาครัฐนอกจากการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสมแล้ว รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการจัดการด้าน พลังงาน โดยกำหนดนโยบายพลังงานของประเทศ ซึ่งในส่วนของไฟฟ้าได้วางแผนพัฒนาไฟฟ้าให้มีการกระจายชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ เพื่อลดความ เสี่ยงด้านการจัดหา ความผันผวนทางด้านราคา และลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะโครงการ ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กและโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก รวมทั้งศึกษาความเหมาะสมในการพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นๆมาใช้ประโยชน์ในการผลิต ไฟฟ้า พร้อมทั้งดำเนินการให้นโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ โดยสนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนโดยเฉพาะการพัฒนา เชื้อเพลิงชีวภาพและชีวมวลส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ ทั้งลม แสงอาทิตย์ พลังน้ำ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ พลังงานจากขยะ ส่งเสริมการ จัดหาและการใช้พลังงานที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยกำหนดมาตรฐานด้านต่างๆ รวมทั้งส่งเสริม ให้เกิดโครงการกลไกการพัฒนาพลังงานที่สะอาด เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก
การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดการด้านพลังงาน และส่งเสริมให้นโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกับสนับสนุน การผลิตและการใช้พลังงานทดแทนส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน ทั้งลม แสงอาทิตย์ พลังน้ำ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ พลังงานจากขยะ ในการผลิตไฟฟ้า ก็ จะเป็นที่มาของการเพิ่มการลงทุนในงานด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลอย่างมากในอนาคตซึ่งบริษัทยังคงมีศักยภาพในการเข้า ร่วมเสนอราคา งานระบบสายส่ง 115-500 เควี งานระบบสายส่ง สถานีไฟฟ้าย่อย ระบบจ่ายไฟฟ้าแรงดันขนาดกลางและต่ำ การเปลี่ยนแปลงระบบ สายอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นการลงทุนระดับ SPP และ VSPP ตามนโยบายที่ ภาครัฐได้เน้นให้ดำเนินการ